กาฬสินธุ์ คาดโทษสูงสุดมือลักลอบเผาป่าไหม้ภูสิงห์วอดเสียหายกว่า 500 ไร่
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมสำรวจความเสียหายป่าเชิงเขาภูสิงห์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและธรรมชาติของจังหวัดกาฬสินธุ์ หลังได้รับความเสียหายกว่า 500 ไร่ จากการเกิดเหตุไฟป่าโหมไหม้นานกว่า 7 ชั่วโมง ขณะที่ทางจังหวัดกาฬสินธุ์คาดโทษมือลักลอบเผาป่าทุกประเภท โดยระวางโทษสูงสุดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี
จากกรณีเกิดเหตุป่าโหมไหม้ภูสิงห์ ด้านหลังวัดพุทธาวาสภูสิงห์ อ.สหัสขันธ์ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.กาฬสินธุ์ โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงระดมฉีดสกัดเปลวเพลิงและทำแนวกันไฟ โดยใช้เวลานานกว่า 7 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเปลวเพลิงไว้ได้ โดยเหตุเกิดเวลาประมาณ 12.00 -19.00 น.ของวันที่ 16 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา สำรวจเบื้องต้นได้รับความเสียหายกว่า 500 ไร่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565 ที่บริเวณเชิงเขาภูสิงห์ ด้านหลังวัดพุทธาวาสภูสิงห์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ สั่งการให้นายอัครพงษ์ เขียวแจ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยเมตตาธรรมกาฬสินธุ์ ร่วมกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อปพร. เจ้าหน้าที่ อส. ได้ร่วมกับพระครูสิริพัฒน์นิเทศก์ รองเจ้าคณะอำเภอสหัสขันธ์ ลงพื้นที่ร่วมกันสำรวจพื้นที่หลังเปลวเพลิงสงบลง เบื้องต้นได้รับความเสียหายกว่า 500 ไร่ และพบว่ายังมีบางจุดที่สะเก็ดไฟได้เกิดการปะทุขึ้นมาอีก เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดและมีลมแรงตลอดเวลา
นางสาวแววตา นระทัด นายอำเภอสหัสขันธ์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุป่าโหมไหม้เชิงเขาภูสิงห์ โดยมีต้นเพลิงจากบริเวณด้านหลังภูสิงห์ ทุกฝ่ายได้ระดมกำลังฉีดสกัดเปลวเพลิงและทำแนวกันไฟอย่างสุดความสามารถ กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น.ของคืนวันที่ 16 มี.ค.65ที่ผ่านมา ในภาพรวมสามารถควบคุมได้ แต่ก็ยังคงมีเจ้าหน้าที่คอยลาดตะเวนตลอดคืน เพื่อป้องกันการปะทุและลุกไหม้อีก เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และมีกระแสลมแรงตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจว่าเพลิงได้สงบและดับสนิท ไม่เกิดการลุกลามขึ้นมาอีก ในวันนี้จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสำรวจความเสียหาย พบว่าพื้นที่ที่ถูกไฟป่าโหมไหม้ได้รับความเสียหายประมาณ 500 ไร่ ไม่มีทรัพย์สินของทางวัดเสียหาย และไม่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ
ด้านนายอัครพงษ์ เขียวแจ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากการสำรวจบริเวณต้นเพลิง ซึ่งอยู่เชิงเขาและด้านหลังว่าพุทธาวาสภูสิงห์ ประกอบคำให้การของชาวบ้านในละแวกนั้น ทราบว่าสาเหตุของการเกิดไฟป่าครั้งนี้ เกิดจากการกระทำของชาวบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน เพราะต้องการเผาป่า เพื่อที่จะได้มีอาหารป่าเกิดตามธรรมชาติขึ้นมาใหม่ในฤดูต้นฝนที่กำลังจะมาถึง โดยหลังจากเกิดไฟป่า อาหารป่าจำพวกผักหวานป่า หน่อไม้ เห็ดป่า หรือยอดไม้บางชนิดที่รับประทานได้จะเริ่มผลิใบ สามารถหาเก็บได้ง่าย โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายป่าและทำให้สัตว์ป่าเป็นอาหารสูญพันธ์จากการถูกไฟไหม้ และยังเป็นการประทำผิดกฎหมายร้ายแรงอีกด้วย
นายอัครพงษ์ กล่าวอีกว่า
สำหรับ พรบ.คุ้มครองป่าทุกประเภท และ พรบ.คุ้มครองสัตว์สงวน ได้กำหนดบทลงโทษไว้สูงมาก ทั้งนี้ ในส่วนของประกาศ จ.กาฬสินธุ์ โดยนายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ ได้ออกประกาศ ห้ามมิให้มีการเผา ลักลอบเผาป่าโดยเด็ดขาด โดยออกประกาศประจำปี 2565 กำหนดระวางโทษผู้ทำการจุดไฟเผาป่าหรือปล่อยให้ลุกลามเข้าไปในพื้นที่ป่าถือเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือเผาป่าเสียหายพื้นที่เกิน 25 ไร่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ทั้งนี้ทางจังหวัดได้มีคำสั่งไปส่วนราชการ ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกแห่งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด