“เพื่อไทย” ติง “ประยุทธ์” จัดงบประมาณปี 2566 ไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ ชี้ จัดงบแบบเดิมล้มเหลวมา 8 ปี
“เพื่อไทย” ติง “ประยุทธ์” จัดงบประมาณปี 2566 ไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ ชี้ จัดงบแบบเดิมล้มเหลวมา 8 ปีแต่ยังจัดแบบเดิมในภาวะสงครามรัสเซียยูเครน แนะ โหวตคว่ำงบประมาณเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล และขอให้มั่นใจพรรคเพื่อไทยฟื้นเศรษฐกิจได้แน่
นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า งบประมาณปี 2566 ที่กำลังจะเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีวงเงิน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 เป็นจำนวนเงิน 85,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 2.74% แต่ก็ยังน้อยกว่างบประมาณปี 2564 ทีมีงบประมาณ 3,280,000 ล้านบาท อยู่ถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่าประเทศไทยยังเสื่อมถอยถึงต้องจัดงบประมาณลดลง เพราะการเก็บรายได้ที่ไม่ได้ตามคาดประมาณ นอกจากนี้เงินเฟ้อในปีนี้น่าจะสูงถึง 4.9% ตามที่แบงค์ชาติคาดการณ์ ซึ่งจะทำให้งบประมาณปี 2566 หลังจากหักเงินเฟ้อแล้วจะน้อยกว่าปี 2565 ด้วยซ้ำ การจัดงบประมาณที่ลดลงทั้งที่ประเทศต้องการเงินเพื่อฟื้นเศรษฐกิจแสดงถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์
แต่ปัญหาหลักไม่ได้อยู่แค่เรื่องมากขึ้นหรือน้อยลงเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของการใช้งบประมาณแบบไม่มีประสิทธิภาพ พลเอกประยุทธ์จัดงบประมาณมา 8 ปีแล้ว ใช้เงินไปแล้วกว่า 20 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่ำเตี้ย ประชาชนส่วนใหญ่รายได้ลดลง หนี้สินเพิ่มขึ้นมากทั้งหนี้ประเทศ หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ และหนี้เสีย คนตกงานเพิ่มขึ้น คนจนมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำห่างมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยลดลง ทุจริตเพิ่มมากขึ้น ตามที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้อธิบายไว้แล้ว แต่ก็ยังคิดจะจัดงบประมาณแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วจะหวังว่าเศรษฐกิจของไทยจะกลับมาฟื้นคงเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะปัจจุบันโลกอยู่ในภาวะสงครามรัสเซียยูเครน การจัดงบประมาณแบบเดิมๆจะยิ่งไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นได้เลย
ดังนั้น การจัดงบประมาณที่ยังติดกรอบคิดแบบเดิม ไม่ปรับตามสภาวะเศรษฐกิจและความจำเป็นเร่งด่วนของประะทศและ ประชาชนในปัจจุบัน ที่ประชาชนกำลังลำบากกันอย่างมากจากพิษเศรษฐกิจ จากปัญหาราคาน้ำมันแพง ข้าวของราคาแพง เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยจะขึ้น ฯลฯ จะไม่สามารถแก้ปัญหาของประะทศไทยได้ อย่างไรก็ดี งบประมาณที่ดี จะต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งหมดลง เพื่อนำเงินไปฟื้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนให้ได้ก่อน แต่ปรากฏว่างบประมาณปี 2566 กลับมีงบรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นอีกโดยมีงบรายจ่ายประจำถึง 2,396,942.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,932.7 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 1.01% ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้งบรายจ่ายประจำควรที่จะต้องลดเพื่อนำเงินไปฟื้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยสนับสนุนประชาชนในเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า
อีกทั้งงบประมาณทางการทหารยังสูงมากมีถึง 197,292 ล้านบาท แม้จะลดลง 4,373 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าลดลงน้อยมาก ทั้งที่ควรจะปรับลดมากกว่านี้ เช่น ต้องไม่ซื้อเครื่องบิน F 35 และอาวุธอื่นๆแล้วในตอนนี้ เรื่องเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องจะทำอย่างไร ขอเงินคืนได้ไหม เป็นต้น เพื่อนำไปช่วยในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งนี้ 8 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ใช้งบทางการทหารรวมไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเลย นอกจากนี้ งบทางความมั่นคงปี 2565 ทั้งหมดมีถึง 296,003 ล้านบาท ซึ่งน่าจะลดลงมาได้มากเพื่อปรับนำไปฟื้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีการแจกงบเพื่อซื้อ ส.ส. เข้าพรรคเหมือนที่ ส.ส. ออกมาสารภาพเองและอ้างว่าจะย้ายพรรคเพราะได้งบประมาณ
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือมีการตั้งรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวนแค่ 100,000 ล้านบาท ซึ่งไม่น่าเพียงพอกับค่าดอกเบี้ยสำหรับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นทะลุ 10 ล้านล้านบาทแล้ว เพราะเฉพาะค่าดอกเบี้ยก็น่าจะเกิน 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้นจึงอยากถามว่าจะการจัดการกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นที่พลเอกประยุทธ์กู้เงินมาจนต้องขยายเพดานเป็น 70% ของจีดีพีอย่างไร จะซุกค่าใช้จ่ายเหมือนซุกค่าทนายของคดีเหมืองทองบริษัทอัคราคงไม่ได้ นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์จะมีปัญญาใช้คืนหรือไม่ หรือต้องรอให้รัฐบาลหน้ามารับชำระหนี้ที่ท่วมจนล้นนี้ และ ลูกหลานจะต้องมาแบกรับการใช้หนี้กันอีกกี่สิบปี กว่าจะใช้เงินที่พลเอกประยุทธ์กู้มาใช้จ่ายและแจกแบบสะเปะสะปะนี้ได้
นี่เป็นเพียงบางประเด็นเท่านั้น และยังมีรายละเอียดของงบประมาณอีกมากที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำมาอภิปรายอย่างละเอียดในสภา และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยไม่สามารถจะรับงบประมาณปี 2566 นี้ได้ และขอเสนอให้โหวตไม่รับ ซึ่งจะเป็นการทำประโยชน์ให้กับประเทศ เพราะจะทำให้ผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรู้ความสามารถต้องออกจากตำแหน่งไปด้วย และงบประมาณปี 2566 จะต้องจัดทำขึ้นใหม่โดยรัฐบาลใหม่ที่มาจากฝ่ายค้านซึ่งจะเป็นงบประมาณที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจไทยได้
ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรล้มงบประมาณปี 2566 นี้ เพราะจะเป็นการใช้เงินงบประมาณที่สูญเปล่า และจะได้เปลี่ยนผู้นำและเปลี่ยนรัฐบาลที่บริหารประเทศล้มเหลวไปด้วย โดยจะได้เปลี่ยนเอารัฐบาลที่เก่งกว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าเข้ามาบริหารแทน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝั่งรัฐบาลเองเข้าร่วมในการโหวตคว่ำงบประมาณปี 2566 นี้ และหากรัฐบาลนี้ต้องออกไป และ พรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ งบประมาณปี 2566 นี้ จะต้องถูกจัดเรียงความสำคัญใหม่ที่จะต้องมุ่งเน้นการฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขความยากลำบากของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก และอยากให้ประชาชนมั่นใจและเลือกพรรคเพื่อไทยกันมากๆ ให้ชนะแบบแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้