23/11/2024

“พิชัย” จี้ “ประยุทธ์” รับมือ 3 ปัญหาหนัก ราคาพลังงาน เงินทุนไหลออก รายได้เพิ่มไม่ทันเงินเฟ้อ ชี้ เศรษฐกิจแม้ดูดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีเพราะ ปัญหามาก ขยายตัวต่ำ ไม่มีทิศทางอนาคต แนะ ทำงานให้หนักเหมือน ขัชชาติ และ มีแผนงานชัดเจนในระยะสั้นและระยะยาว

“พิชัย” จี้ “ประยุทธ์” รับมือ 3 ปัญหาหนัก ราคาพลังงาน เงินทุนไหลออก รายได้เพิ่มไม่ทันเงินเฟ้อ ชี้ เศรษฐกิจแม้ดูดีขึ้น แต่ไม่ได้ดีเพราะ ปัญหามาก ขยายตัวต่ำ ไม่มีทิศทางอนาคต แนะ ทำงานให้หนักเหมือน ขัชชาติ และ มีแผนงานชัดเจนในระยะสั้นและระยะยาว

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยแม้จะเริ่มดีขึ้นบ้างจากการเปิดประเทศ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้าง และการส่งออกยังขยายตัว แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ดีจริงและยังมีปัญหาอีกมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยที่เตือนก่อนนานแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อสูงที่เตือนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยล่าสุดเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมพุ่งถึง 7.1% ปัญหาหนี้ ทั้งหนี้ประเทศหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ และหนี้เสียพุ่ง ที่เตือนมาเป็นปีๆแล้ว ซ้ำเติมด้วยดอกเบี้ยขาขึ้นปัญหาราคาน้ำมัน และราคาพลังงาน ซึ่งผลกระทบของปัญหาเหล่านี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ และจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีจริงอย่างที่คาดกันไว้ โดยอยากจะขอเตือน 3 ปัญหาสำคัญที่พลเอกประยุทธ์ ต้องรีบรับมือและหาทางแก้ไข

1. ราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ดีเซลทะลุถึงลิตร 34 บาท และ อาจถึงลิตรละ 35 บาทในไม่ช้านี้ ราคาก๊าซหุงต้มถึง 15 กก. พุ่งถึง 363 บาทแล้ว และค่าไฟฟ้าที่เพิ่งขึ้นไปหน่วยละ 4 บาทแต่กำลังจะขึ้นราคาอีก ราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นทำให้สมาพันธ์ขนส่งต้องขึ้นราคาค่าขนส่งอีก 3% หลังจากขึ้นราคาไปแล้วถึง 15% ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จะต้องเร่งหาทางแก้ไขรับมือ การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเพื่อให้ประคองชีวิตอยู่ได้ รัฐวิสาหกิจของรัฐน่าจะเสียสละกำไรบางส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน และเร่งเจรจาหาแหล่งพลังงานราคาถูกมาใช้ในประเทศ


2. ปัญหาเงินทุนไหลออก จากข้อมูลล่าสุดเงินทุนสำรองระหว่างของประเทศไทยอยู่ที่ 227.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงอย่างรวดเร็วจากเงินทุนสำรองใน 245.0 พันล้านเหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งลดลง 1.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6 แสนล้านบาท) ในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งหากทิศทางเป็นเช่นนี้กระแสเงินทุนไหลออกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะกระทบความมั่นคงทางการเงินของประเทศได้ ดังนั้นอยากขอเตือนพลเอกประยุทธ์ และธนาคารแห่งประเทศไทยให้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าเพิ่งเร่งพูดอะไรถ้ายังไม่มั่นใจ เพราะธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในอีก 2 สัปดาห์ จากตัวเลขการจ้างงานที่ดี และ อาจจะขึ้นอีก 0.5% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งหาก ธปท. ประกาศว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้เหมือนที่ประกาศไปแล้ว เงินทุนอาจจะไหลออกมากขึ้น และ ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนลงอีก และราคาน้ำมันอาจจะแพงขึ้นไปอีก ทั้งนี้ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นจุดแข็งเดียวที่ประเทศไทยยังมีอยู่ ซึ่งหากความมั่นใจลดลงจะเป็นปัญหาอย่างมากของประเทศไทย อีกทั้งปีนี้ประเทศไทยยังเสี่ยงจะขาดดุลแฝดคือ ขาดดุลการคลังและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย


3. รายได้ของคนไทยขยายตัวไม่ทันเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมพุ่งสูงถึง 7.1% ซึ่งเงินเฟ้อของไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.9% หรือ มากกว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ ไม่ได้เพียง 3.5% ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว พาณิชย์ แถลงที่สภา แต่เศรษฐกิจไทยจะขยายได้ต่ำมาก ซึ่งจะทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มไม่พอกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หรือหาเงินได้พอใช้จ่าย เพราะข้าวของแพงขึ้น ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จะต้องหาทางเพิ่มรายได้ของประชาชน งบประมาณปี 2566 ที่เพิ่มผ่านการเห็นชอบจากสภาไม่น่าจะทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มได้ทันรายจ่าย

ดังนั้น 3 ปัญหานี้จะรุนแรงเพิ่มขึ้นและจะเป็นปัญหาหนักของประเทศไทยและคนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ ไม่เร่งแก้ไขและหาทางออก ซึ่งต้องมีแผนระยะสั้น และระยะยาวรองรับ อยากให้พลเอกประยุทธ์ ทำงานหนักเหมือนนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ปัจจุบัน โดยพรรคเพื่อไทยมีแผนงานรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว และได้คิดและเตือนล่วงหน้ามานานแล้ว
————————-

“เพื่อไทย” เตือน อย่าด่วนสรุปความสำเร็จในการแก้ปัญหาลอตเตอรี่ เหมือนลิงแก้แห แก้ด้านหนึ่งเพิ่มปัญหาอีกด้านหนึ่ง แนะ มองให้ครบทุกด้าน จะได้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับประชาชนที่สามารถซื้อสลากกินแบ่งของรัฐบาลได้ในราคา 80 บาท ทางออนไลน์ ซึ่งหากยังจำได้ความพยายามที่จะทำให้ราคาล็อตเตอรี่อยู่ที่ 80 เริ่มมาตั้งแต่สมัย พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ มาเป็นประธานกองสลาก ที่เน้นการบังคับใช้กฎหมาย จับกุมผู้ขายเกินราคา จนสุดท้ายตั้งนายอนุชา นาคาศัย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ มาเป็นคณะกรรมการแก้ไขราคาสลากกินแบ่ง และมีการบุกเข้าจับกุมและฟ้องร้องบริษัทมังกรฟ้า ทุกครั้งก็จะอ้างว่าเป็นความสำเร็จ ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเช่นเดิม แถมล่าสุดมีปัญหาคลิปเสียงเรียกเงินสำหรับโควต้าล็อตเตอรี่ จนต้องมีการลาออกของกรรมการบางคนเป็นข่าวเกรียวกราวในสื่อมวลชน จนกระทั่งมีการขายออนไลน์นี้

ทั้งนี้การขายออนไลน์แม้จะเป็นเรื่องดี ให้ประโยชน์แก่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ในราคา 80 บาท เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และเป็นวิธีที่ทั้งนักวิชาการ และผู้ที่เคยศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหา รวมถึงสำนักงานสลากเองเลือกที่จะไม่นำมาใช้ แต่รัฐบาลบีบให้กองสลากเลือกวิธีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้กับกลุ่มบุคคลที่ขายสลากอยู่แล้วเช่น กลุ่มผู้พิการและผู้ค้ารายย่อย ดังนั้นจึงมีข้อสังเกตุ ข้อห่วงใย และคำถามดังนี้

1. รัฐบาลจะใช้การขายสลากดิจิทัลเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาโดยจะเพิ่มปริมาณสลากมากขึ้นอีกหรือไม่ เพราะหากมีการเพิ่มปริมาณสลากที่จะซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้น ก็ยิ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ค้าสลากรายย่อยที่หาเช้ากินคํ่า และไม่ได้รับการจัดสรรโควต้าสลาก จำนวนหลายแสนคนที่จะต้องตกงาน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกตํ่าในปัจจุบัน จากการใช้นโยบายสลากดิจิทัลที่ง่ายต่อการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลเพียงเพื่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาได้ แต่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนอีกจำนวนมาก


2. จากการที่ผู้อำนวยการกองสลากมีการเสนอให้ยึดโควต้าตัวแทนจำหน่าย 8,000 ราย คิดเป็นจำนวนสลากเกือบ 6 ล้านฉบับ ที่ถูกกล่าวหาว่าขายสลากเกินราคาให้กับแพลตฟอร์มออนไลน์ สำนักงานสลากจะคืนสิทธิ์ดังกล่าวให้กับผู้ค้าสลากหรือไม่ เพราะเหตุว่าศาลได้มีการตัดสินว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการบุกค้นและกล่าวหาผู้ประกอบการโดยขาดความรอบคอบของทีมเฉพาะกิจรัฐบาล เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เป็นความเคยชินที่เคยปฏิบัติในสมัยรัฐบาล คสช. ที่มีมาตรา 44 เป็นเครื่องมือ
3. ขอทวงถามการเพิ่มสิทธิ์ซื้อจองสลากผ่านธนาคารกรุงไทยให้กับผู้ค้าสลากรายย่อย จำนวน 200,000 สิทธิ์ ที่กองสลากเคยรับปากไว้และอ้างว่ากำลังดำเนินการคัดสรรให้ได้ผู้ค้าสลากตัวจริง สำนักงานสลากจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์เมื่อใดและกระบวนการนี้จะมีความโปร่งใสเพียงพอหรือไม่ ไม่ให้เป็นเพียงพิธีกรรมและจัดสรรสลากให้กับพวกพ้องของผู้มีอำนาจเท่านั้น

 

ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลได้ดูตัวอย่างของหวยออนไลน์ในสมัยพรรคไทยรักไทยที่สามารถทำรายได้และไม่ไปกระทบตลาดเดิมและผู้ค้าสลากเดิมที่ทำมาหากินอยู่แล้ว อีกทั้งพรรคเพื่อไทยยังมีนโยบายหวยบำเหน็จ สำหรับเป็นการออมทรัพย์ให้ผู้ที่ชอบซื้อล็อตเตอรี่และได้มีโอกาสออมทรัพย์ไปในตัวตอนเกษียณอายุด้วย
————————-

“เพื่อไทย” จี้ “ประยุทธ์” เร่งช่วยชาวนาและเกษตรกร ที่รายได้ลด แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และ เงินเฟ้อ ชี้ โลกขาดแคลนอาหาร ราคา อาหาร และ สินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทั้งโลก แต่ ราคาสินค้าเกษตรไทยกลับไม่ขึ้น แนะ เร่งทำการตลาดเพื่อดันราคา และแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพง น้ำมันแพง

 

นายเอกชัย ทรงอำนาจเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมสูงถึง 7.1% และทั้งปีเงินเฟ้อน่าจะสูงกว่า 5% ทำให้ค่าครองชีพของชาวนาเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ไม่เพิ่มแถมยังลดลง ตลอด 8 ปีชาวนาไทยรายได้ลดลงมาตลอด การประกันรายได้ไม่ช่วยให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ แถมหนี้สินกลับเพิ่มขึ้นตลอด ชักหน้าไม่ถึงหลัง หลังจากยกเลิกโครงการจำนำข้าวไป คุณภาพชิวิตของชาวนาลดลงมาโดยตลอด อีกทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำก็ไม่ได้ทำ ทำให้ชาวนาไทยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งชลประทานได้ในขณะที่ชาวนาเวียดนามเขาถึงแหล่งชลประทานถึง 80-90%

นอกจากประสิทธิภาพการผลิตของชาวนาไทยตกต่ำมาก ผลผลิตต่อไร่อยู่ในระดับต่ำไม่ถึงครึ่งของชาวนาเวียดนามด้วยซ้ำ อีกทั้งการพัฒนาพันธุ์ข้าวได้หยุดชะงัก ไม่มีการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลผลิตเลย และที่สำคัญราคาปุ๋ยได้พุ่งขึ้นสูงอย่างมาก ขึ้นมากกว่า 200-300% เลย ดังนั้นรัฐบาลต้องหาแนวทางแก้ไข การต้องนำโครงการปุ๋ยแห่งชาติมาปัดฝุ่นพิจารณากันใหม่ สมควรหรือไม่ ถ้าราคาปุ๋ยยังสูงขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐต้องหาทางจัดซื้อปุ๋ยราคาถูกแบบ จีทูจีมาช่วยเหลือชาวนาและพี่น้องเกษตรกร ทั้งนี้ ปัจจุบันโลกขาดแคลนอาหาร ราคาอาหารสูงขึ้นมากทั้งโลก แต่ราคาสินค้าเกษตรไทยกลับไม่ขึ้น ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ ต้องทำการตลาดให้มากขึ้น

นอกจากนี้การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดในสภาว่าการจำนำข้าวทำให้ขาดทุนกว่า 9 แสนล้านบาทเป็นข้อมูลที่บิดเบือนเหมือนเป็นการกล่าวเท็จในสภา ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ ไม่ทำการปฏิวัติและมีการใส่ร้ายโครงการจำนำข้าวเหมือนที่เป็นอยู่ และไม่มีการนำข้าวดีออกมาขายเป็นข้าวเสีย การขาดทุนก็คงจะมีน้อย แต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางถึง 9 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน ขนาดมั่วทุกทางยังขาดทุนตามข้อมูลรายการเพียง 5 แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น เฉลี่ย 3 ฤดูการตกปีละ 1 แสนกว่าล้าน ใกล้เคียงกับการประกันรายได้ แต่ชาวนามีความเป็นอยู่ดีกว่า

ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ ใส่ใจในความเป็นอยู่ของชาวนาและเกษตรกร เหมือนที่พรรคเพื่อไทยทำมาตลอด เร่งแก้ปัญหาปุ๋ยแพง ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้กลับมาบริหารประเทศ การช่วยเหลือชาวนาและเกษตรกรจะเป็นเรื่องแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำและต้องทำ ////